Wednesday, May 30, 2012

CEZANNE UV Foundation EX SPF 18 / PA++ 
แป้งผสมรองพื้นสุดฮิตจากญี่ปุ่น
Posted by Chicsociety.com
alt
ก่อนอื่นขอบอกไว้ก่อนเลยนะคะว่ารีวิววันนี้มาตามเสียงเรียกร้องของสาวๆชาว ChicSociety ล้วนๆ เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้จักเครื่องสำอางแบรนด์ CEZANNE  (อ่านว่า เซ-ซาน) มาก่อนเลย จนกระทั่งน้องๆกระซิบมาหลังไมค์ว่าแป้งนี้เค้าคิดกันมากมายที่ญี่ปุ่นและลุกลามมาในบ้านเราอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดสาวๆสามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์ของ CEZANNE  ได้ที่วัตสันแล้ว และสิ่งที่เราจะพูดถึงในวันนี้ก็คือ CEZANNE UV Foundation EX SPF 18 PA++ ดูจากชื่อแล้วจะเป็นอะไรเสียมิได้นอกจากแป้งผสมรองพื้นที่มีค่า SPF18 PA++ นั่นเอง
alt
แป้งผสมรองพื้นของ CEZANNE  มี 2 สูตรนะคะ สังเกตได้จากสีของตลับคือมีสีฟ้าและสีชมพู สำหรับ CEZANNE UV Foundation EX SPF 18  PA++ เป็นตลับสีฟ้าค่ะ จริงๆตั้งใจจะซื้อมาพร้อมกันทั้ง 2 สี แต่มันหมด!!! เลยได้มาแค่สูตรเดียว…ดูหน้าตาแพ็คเกจแล้วสุดแสนจะธรรมดามากมาย ตลับเป็นพลาสติกไม่มีลวดลายอะไรตัวหนังสือที่อ่านว่า ‘CEZANNE’ เท่านั้น เรามาดูเนื้อแป้งและประสิทธิภาพในการกลบริ้วรอยบนใบหน้าเราดีกว่าค่ะ
alt
CEZANNE UV Foundation EX SPF 18  PA++ ตลับนี้เป็นเบอร์ 2 นะคะ เป็นสี Light Ochre เหมาะสำหรับคนผิวขาวเหลือง…เนื้อแป้งค่อนข้างเบา ไม่จับตัวกันเท่าไหร่ ดังนั้นเวลาใช้พัฟฟ์ลูบบนเนื้อแป้งต้องระวังหน่อยนะคะ เพราะถ้าหนักมือเกินไป แป้งอาจจะกระจายออกมาเกินความจำเป็น มันเปลืองค่ะ
alt
รูปด้านบนนี่เป็นสภาพผิวหน้าหลังล้างหน้าใหม่ๆ และไม่ได้ทาอะไรเลยนะคะ เรียกได้ว่าเป็น Naked Face กันเลยก็ว่าได้ (โชคดีที่สภาพหน้าตอนนี้ไม่มีปีญหากวนใจเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าเปลือยเช่นนี้) ตอนนี้พร้อมที่จะลองทาแป้ง CEZANNE UV Foundation EX แล้วล่ะ
alt
ต่อไปนี่คือโฉมหน้าที่เปลี่ยนไปหลังจากการทา CEZANNE UV Foundation EX จะเห็นว่าผิวเรียบเนียนใช้ได้เลย รูขุมขนและรอยสิวเล็กๆ น้อยๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ถูกกลบจนเรียบ!!! นี่ขนาดยังไม่ได้ทาอะไรบนหน้าเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นครีมกันแดด ไพรม์เมอร์ เบส รองพื้น หรืออะไรต่างๆนานาที่ปกติจะโหมทากันเข้าไปก่อนตบแป้ง ได้แค่นี้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว…ถ้าวันไหนเร่งรีบหรือจะไปไหนใกล้ๆ แนะนำให้คว้่าเซซานตลับนี้มาใช้ได้เลยค่ะ เอาอยู่แน่นอน
alt
สรุปเลยนะคะว่าแป้ง CEZANNE UV Foundation EX SPF 18  PA++ นั้นมีเนื้อแป้งบางเบา น่าจะเหมาะกับคนที่ไม่มีปัญหาริ้วรอยหรือร่องรอยให้ปกปิดเท่าไหร่ เพราะอย่างที่บอกไปนะคะว่าแป้งค่อนข้างบาง เน้นความเป็นธรรมชาติมากกว่าการปกปิด และฝากไปถึงคนที่มีผิวผสมและผิวมันว่า CEZANNE UV Foundation EX ไม่ช่วยควบคุมความมันนะคะ ยังมีเยิ้มระหว่างวันอยู่บ้าง (หรือเพราะบ้านเรามันร้อน)
alt
 ถ้าใครต้องการประสิทธิภาพในการปกปิดมากกว่าลุคที่เป็นธรรมชาติลองใช้คู่กับ CEZANNE  BB Cream หรือซื้อ CEZANNE Ultra Cover UV Foundation Powder II SPF35 PA+++ ตลับสีชมพูมาใช้ดูนะคะ เค้าว่ากันว่าปดปิดได้ทุกสิ่งอย่าง และควบคุมความมันด้วย…ไอเท็มอีกชิ้นของ CEZANNE ที่อยากลองคือ Nose Shadow & Highlight หรือไฮไลท์ดั้งโด่งที่เค้าว่าเทพนักเทพหนา ขอไปลองแล้วจะแวะมาบอกค่ะ

Monday, May 28, 2012

แนะนำ ZA True White Power Block UV ครีมกันแดดที่ควบคุมความมันได้เริ่ด!!!

แนะนำ ZA True White Power Block UV
ครีมกันแดดที่ควบคุมความมันได้เริ่ด!!!
Posted by www.Chicsociety.com on January 27, 2012 – 08:30


                 ก่อนที่จะได้ลองใช้   ZA True White Power Block UV SPF40/PA+++ นั้น ได้ยิน ได้อ่านความคิดเห็นจากหลายๆคนที่ใช้ พบว่ามีทั้งชอบและไม่ชอบ ในคนที่ชอบก็จะบอกว่า ZA ตัวนีช่วยควบคุมความมันได้ดีเยี่ยม ไม่เหนียว และราคาไม่แพง ส่วนคนที่ไม่ชอบก็จะบอกว่าใช้แล้วหน้าเป็นคราบ เกลี่ยยากล้างยาก และเป็นสิวอีกต่างหาก…ด้วยความที่ Chic Editor เองก็เป็นคนที่มีผิวผสมและต้องการ skin care & sun care ที่ควบคุมความมัน และยังเป็นคนที่ต่อสู้กับสิวมาโดยตลอด โดยเฉพาะสิวอุดตันที่แวะมาเยี่ยมประจำ ก็เลยอยากจะพิสูจน์คุณสมบัติที่ดีและไม่ดีของ ZA True White Power Block UV SPF40/PA+++ ตัวนี้ด้วยตัวเอง (ใจจริงแอบกลัวเหมือนกันนะมาสิวจะยกทัพมาหรือเปล่า Y____Y)
alt
                    ก่อนอื่นขอแจกแจงส่วนผสมตามที่บอกไว้ข้างขวดก่อนนะคะ ZA True White Power Block UV SPF40/PA+++ ขนาด 50 กรัม มี Active Ingredients อยู่ 3 ตัว ได้แก่ Zinc Oxide 9.30%, Octyl Methoxycinnamate 5.00% และ Titanium Dioxide 1.66% ส่วนผสมอื่นๆ ได้แก่ Water, Cyclomethicone, Butylene Glycol, Dimethicone, Polymethylmethacrylate, Dimethicone Copolyol, Disteardimonium Hectorite, Trimethylsiloxysilicate, Sodium Glutamate, Tocopheryl Acetate, Magnesium Chloride, Calcium Chloride, Dextrin Palmitate, Isosteric Acid, Aluminum Distearate, Aluminum Hydroxide, Silica, Peg-150, Trisodium Edta, Bht, Phenoxyethanol, Methylparaben, Fragrance (แต่ไม่มีแอลกอฮอล์นะคะ)
alt
            เรามาดูประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสงแดดรวมกันดีกว่า…ถ้าวิเคราะห์จากส่วนผสมโดยอ้างอิงจาก Comedogenic Ingredients List จะเห็นว่ามี Zinc Oxide เป็นส่วนผสมมากถึง 9.30% (แต่ก็ยังน้อยกว่า SUNPLAY Skin Aqua) อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่า Zinc Oxide มีคุณสมบัติในการป้องกันรังสี UVA & UVB และยังมี Titanium Dioxide มีคุณสมบัติในการป้องกันรังสี UVA & UVB เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมี Octyl Methoxycinnamate ที่ช่วยดูดซับรังสี UVB ได้อีกด้วย…ต้องบอกว่าประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดนี่เต็มเปี่ยมจริงๆ อ้อ…ลืมบอกไปว่ามี Tocopheryl Acetate ที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) อยู่ในส่วนผสมด้วย :)
           เรามาวิเคราะห์แนวโน้มที่จะเกิดการอุดตัน (comedogenic) และระคายเคืองผิว (Irritancy) จากส่วนผสมกันต่อ…ขอเริ่มที่การอุดตัน ก่อนเลยนะคะ Zinc Oxide ที่เป็นส่วนผสมหลักใน Za Power Block UV SPF40/PA+++นี้ และ Butylene Glycol, Dimethicone ที่มีระดับ comedogenic=1/5  และ PEG150 มีระดับ comedogenic=2/5 อย่างที่เคยบอกไปในหลายบทความแล้วว่า comedogenic ratings ไม่ควรเกินระดับ 3 เพราะเปอร์เซ็นต์ที่จะทำให้เกิดการอุดตันและเกิดสิวมีสูงมาก ดังนั้น ZA True White Power Block UV หลอดนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยค่ะ อ้อ…ลืมบอกไปว่ามีน้ำหอมเป็นส่วนผสมด้วย ใครที่แพ้น้ำหอมอาจระคายเืคืองได้นะคะ
alt
alt
                ได้เวลาแชร์ประสบการณ์หลังการใช้  ZA True White Power Block UV SPF40/PA+++ กันแล้ว…เริ่มกันที่เนื้อครีม จะเห็นว่าเนื้อครีมเป็นสีขาว ไม่หนัก แต่ก็ไม่เหลวเป็นน้ำนะคะ เมื่อเกลี่ยครีมลงบนผิวหน้าพบว่าเนื้อครีมซึมลงผิวค่อนข้างเร็ว (แต่ไม่เร็วเท่ากับครีมที่เป็น water base) ไม่ต้องรอให้เนื้อครีมเซ็ทตัวนาน ก็ลงเมคอัพต่อได้เลย…หลังจากใช้ทุกวันติดต่อกันมา 10 วัน ก็ได้ข้อสรุป ดังนี้
alt
Q: เนื้อครีมเกลี่ยยากจริงหรือ?
A: ส่วนตัวใช้แล้วไม่เจอปัญหานี้ค่ะ แต่หากใครที่มีผิวธรรมดาหรือผิวผสม เมื่อทาครีมในบริเวณที่ไม่ใช่ T-zone อาจเกิดความรู้สึกว่ายังเกลี่ยครีมไม่ทั่วหน้าเลย ครีมก็แห้งซะแล้ว…แนะนำว่าให้บีบครีมทีละนิดและทาผิวทีละส่วนจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ค่ะ
Q:จริงหรือไม่ที่ใช้แล้วหน้าเป็นคราบหน้า หน้าแอบลอย?
A: เป็นไปได้ว่าเพื่อนๆที่ใช้แล้วเจอปัญหานี้อาจมีสาเหตุมาจากเบส รองพื้น หรือแป้งที่ทาร่วมด้วย เพราะส่วนตัวแล้วไม่เจอปัญหานี้ แม้แต่ตอนที่เหงื่อออกมากๆ มีเคล็ดนับนิดนึงสำหรับคนทีเจอปัญหาหน้าเป็นคราบ แนะนำให้แต้มครีมที่หน้าเป็นจุด 5 จุด (หน้าผาก + แก้ม 2ข้าง + จมูก + คาง) แล้วเกลี่ยให้ทั่วโดยใช้นิ้วกดเบา ให้ครีมซึมลงไปที่ผิว แล้วทิ้งไว้ 1-2 นาทีพอให้ครีมซึม จากนั้นค่อยลงไพร์มเมอร์, เบส, รองพื้นนะคะ ทำบ่อยๆจะชินและจะรู้ว่าไม่ได้เสียเวลาเลย
Q:ควบคุมความมันได้จริงหรือ?
A:คุณสมบัติข้อนี้เป็นคุณสมบัติเด่นของครีมตัวนี้เลย ต้องยกให้นิ้วให้เลยค่ะ เมื่อเทียบกับครีมตัวอื่นๆที่มีคุณสมบัติควบคุมความมันเหมือนกัน ส่วนตัวคิดว่าไม่มีตัวไหนเทียบ  ZA True White Power Block UV SPF40/PA+++ ได้ (ในเวลานี้) ปกติไม่ทันจะเที่ยงวันก็ต้องเสียกระดาษซับมันไปแล้ว 2 แผ่น (นี่ขนาดอยู่ห้องแอร์นะ) แต่พอใช้ ZA ตัวนี้ก็เปลี่ยนเวลาซับหน้าไปหลังเที่ยงเลยค่ะ ที่ชอบอีกอย่างคือ หน้าไปดรอป ไม่หมอง และไม่ทำให้เครื่องสำอางหลุด พูดง่ายๆว่าไม่ต้องเติมเมคอัพอะไรนอกจากซับหน้าและเติมแป้งนิดหน่อยเท่านั้น
Q: จริงมั๊ยที่ใครๆก็บอกว่าล้างออกยาก?
A: ถ้าล้างหน้าโดยไม่เช็ดเครื่องสำอางออกก่อน บอกได้เลยว่าจะล้างเนื้อครีมได้ไม่หมด หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆคือ ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยโฟม/ครีม/เจลล้างหน้าเพียงอย่างเดียว
Q: ใช้แล้วสิวอุดตันจะถามหามั๊ย?
A: ส่วนตัวแล้วตลอดเวลาที่ใช้ไม่มีสิวอักเสบขึ้น 1 เม็ดใหญ่ๆ ที่คิดว่าเป็นสิวจากฮอร์โมนมากกว่าสิวที่เกิดจากการใช้ครีม เพราะโดยปกติเท่าที่สำรวจตัวเองมา ถ้าสิวขึ้นเพราะแพ้หรือเกิดอุดตันจากเครื่องสำอางที่ใช้ สิวจะขึ้นเม็ดเล็กๆช่วงแก้ม ดังนั้นแนะนำว่าให้ล้างหน้าให้สะอาดจะช่วยแก้ปัญหาการอุดตันได้ค่ะ
สรุป…ชอบ  ZA True White Power Block UV SPF40/PA+++ และจะซื้อใช้ต่อแน่นอน แนะนำให้เพื่อนๆที่กำลังคิดจะเปลี่ยนครีมกันแดด และอยากได้ครีมที่มีคุณสมบัติตามที่บอกไป และที่สำคัญคือราคาสบายกระเป๋าแบบนี้ (380 บาท) อย่าลืมเก็บ  ZA True White Power Block UV ไว้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกนะจ๊ะ

Wednesday, May 23, 2012

Review: Neuteogena Hydro Boost Product Line


Neuteogena Hydro Boost Product Line
Review and Posted by Pupe_so_Sweet

เมื่อช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ปูเป้ได้ไปร่วมงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Neuteogena Hydro Boost ซึ่งอันที่จริงแล้วก็เห็นเริ่มวางจำหน่ายมาก่อนหน้านั้นหลายสัปดาห์เหมือนกัน และก็มีคำถามอยู่ในใจมากมายว่า "ทำไมราคาผลิตภัณฑ์กลุ่ม Hydration ให้สูงกว่า Whiteining?" ทั้งที่ดูจากส่วนผสมคร่าว ๆ แล้วมันดูธรรมดามากเลย...



เป็นโอกาสอันดีมากที่ในงานเปิดตัวนั้นมีฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศมาให้ปูเป้ได้ซักถามข้อมูลอย่างหนำใจ จนได้ข้อสรุปว่าสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของผลิตภัณฑ์คือ "Delivery System" หรือ "ระบบนำพา" ที่มีลักษณะโมเลกุลเป็นเหมือน "ผลึก" เมื่อส่องผ่านกล้องจุลทัศน์ โดยเขาบอกว่าเจ้าเทคโนโลยี “12H Progressive Release System นี้จะคอยเติมความชุ่มชื้นให้กับส่วนที่ต้องการโดยใช้หลักของการ "ออสโมสิส" และส่วนผสมของเทคโนโลยีนี้คือสารที่ได้จาก "ผลมะกอก"

ปัญหาคือว่าในรายชื่อส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์นั้นมันไม่มีสารสกัดจากผลมะกอก หรือ Olive Extract ให้เห็นเลยน่ะสิ แต่จากการที่อ่านส่วนผสมเครื่องสำอางมาหลายปีก็เลยคาดเดาว่าเจ้า Cetearyl Olivate และ Sorbitan Olivate นี่แหล่ะที่น่าจะเป็นสารที่ได้จากมะกอก ("Olivate" มันคล้ายกับคำว่า "Olive") และก็พบว่าส่วนผสมนี้ก็คือ Olivem®1000 Crystal Skin™ โดยบริษัท B&T นั่นเอง สารนี้เป็นกลุ่มของสารประกอบของกรดไขมันหลากหลายชนิดที่ได้จากผลมะกอก ซึ่งมีคุณสมบัติทางเคมีคล้ายคลึงกับ Lipid ในผิวของมนุษย์.... ซึ่งถ้าคุณสมบัติมีเพียงเท่านี้มันก็จะธรรมดามากมาย แต่จากการอ่านข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า Olivem®1000 Crystal Skin™ สามารถสร้างโครงสร้างอีมัลชั่นแบบ Liquid Crystal ได้ด้วย!!!

แล้วทำไมโครงสร้างอีมัลชั่นแบบ Liquid Crystal ถึงได้น่าสนใจ? ขอยกรายละเอียดส่วนนี้ไว้ในรีวิวด้านล่างละกัน....


ปูเป้จะขอพูดถึงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Cetearyl Olivate และ Sorbitan Olivate ในปริมาณที่มากที่สุด (และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปูเป้ชอบที่สุดในไลน์นี้) อย่าง Neutrogena : Hydro Boost Night Concentrate (50 g. / 820 THB) กันก่อน

ก่อนอื่นก็ต้องเกริ่นถึงเรื่องผิวหนังของเราก่อน ก็อย่างที่หลายคนรู้กันแล้วว่าผิวชั้นนอกของเราก็คือ "เซลล์เคราติน" ที่เป็นเสมือน "ก้อนอิฐ" ที่เชื่อมเข้าด้วยกันด้วย Intercellular Lipid ที่เปรียบเสมือน "ปูน" ทั้งสองสิ่งนี้ก่อร่างสร้างตัวรวมกันเป็นผิวชั้นนอก ที่เปรียบเสมือนกำแพงที่ปกป้องผิวชั้นในของเราจากการสูญเสียความชุ่มชื้น การระคายเคือง รวมถึงสิ่งสกปรก เชื้อโรค บลา ๆ ไม่ให้กล้ำกรายเข้าไปที่ผิวด้านใน

ทีนี้เมื่อเทคโนโลยีก้าวไกลขึ้น เราก็ค้นพบว่าเจ้า "ปูน" ที่เอาไว้ยึด "ก้อนอิฐ" เนี่ย มันก็มีการเรียงโครงสร้างเป็นชั้น ๆ อีกเหมือนกัน ซึ่งเราเรียกโครงสร้างแบบนี้ว่า "Lamellar Structure"



โครงสร้างอีมัลชั่นแบบ Liquid Crystal นั้น มีการเรียงแบบ "Lamellar Structure" คล้าย ๆ กับที่ Intercellular Lipid ในผิวของเราเป็นอยู่ จึงทำให้เวลาที่เราทาผลิตภัณฑ์ที่มีโครงสร้างของอีมัลชั่นแบบ Liquid Crystal ลงไปบนผิว มันก็จะเข้าไปเสริม ไปเติม ทดแทน Intercellular Lipid ที่อาจจะลด หด หายไปจากปัจจัยลบต่าง ๆ ไม่ว่าจะมาจากการใช้ผลิตภัณฑืที่รุนแรงกับผิวมากไป การทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง หรือแม้แต่การที่ผิวมีการผลิตน้ำมันตามธรรมชาติน้อยผิดปกติ (ซึ่งในกรณีที่เป้นหนัก ๆ คือโรคผิวแห้ง หรือ Atopic Dermatitis) 



ระบบ Emulsion แบบ Liquid Crystal หรือ "Multi-Layer Lamellar Emulsion" ยังใช้เป็นระบบนำพาสารให้แทรกซึมเข้าไปได้ลึกขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถเป็นปราการปกป้องผิวจากสภาพแวดล้อมภายนอกเหมือนกับผิวหนังชั้นที่สองได้อีกด้วย... พอถึงตอนนี้ก็เริ่มย้อนกลับไปนึกถึงคำว่า "ผลึก" และ "ระบบนำพา" ที่ทาง R&D บอกเอาไว้ ปูเป้ก็ยิ่งมั่นใจมาก ๆ ว่าเทคโนโลยีเบื้องหลังกลไกการทำงานของผลิตภัณฑ์ Neutrogena Hydro Boost นั่นคือการเสริมความแข็งแรงของ Skin Barrier เพื่อให้ผิวสามารถเก็บกักความชุ่มชื้นเอาไว้ได้ด้วยตัวเองและเสริมความชุ่มชื้นในจุดที่ผิวต้องการด้วยระบบนำพา เมื่อ Skin Barrier แข็งแรงขึ้นผิวก็จะทนต่อการระคายเคืองและสารก่ออาการแพ้ได้มากขึ้น เมื่อผิวชุ่มชื้นขึ้นก็จะมีความเปล่งปลั่งมากขึ้นด้วยนั่นเอง...

(Source : OLIVE OIL FATTY ACIDS: POSITIVE EFFECTS FOR THE SKIN)


นอกจากส่วนผสมที่ทำให้เกิดอีมัลชั่นแบบ Liquid Crystal แล้ว ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ก็ประกอบไปด้วยซิลิโคนชนิดเคลือบผิว ส่วนตัวที่ช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นอย่าง Trehalose และ Sodium Hyaluronate มี Dipotassium Glycyrrhizate และ Portulaca Oleracea Extract เพื่อช่วยลดการระคายเคืองขอผิว เม็ดบีดส์สีเขียว ๆ นั้นบรรจุวิตามินอีในรูป Tocopheryl Acetate ข้างใน ซึ่งจะแตกตัวเมื่อทำการทาลงไปบนผิว 

Ingredients : Water, Glycerin, Dimethicone, Cetearyl Olivate, Polyacrylamide, Sorbitan Olivate, Dimethicone/Vinyl Dimethicone Crosspolymer, Dimethiconol, Ethylhexylglycerin, Synthetic Beeswax, C13-14 Isoparaffin, Benzyl Alcohol, Butylene Glycol, Chlorphenesin, Trehalose, Dimethicone Crosspolymer, Dipotassium Glycyrrhizate, Laureth-7, Mannitol, Carbomer, Sodium Hyaluronate, Microcrystalline Cellulose, C12-14 Pareth-12, Sodium Hydroxide, Fragrance, Cl77289, Portulaca Oleracea Extract, Tocopheryl Acetate, Magnesium Aspartate, Zinc Gluconate, Copper Gluconate, Cl 42090.


เนื้อผลิตภัณฑ์เป็นเจลที่ให้สัมผัสที่ชุ่มฉ่ำผิวทันที เม็ดบีดส์แตกตัวและกลืนหายไปกับผิวได้ง่าย ผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้ออกแบบมาให้ใช้เป็น Sleeping Pack หรือมาส์กให้ความชุ่มชื้นชนิดไม่ต้องล้างออก ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือเนื้อเจลของ Neutrogena : Hydro Boost Night Concentrate นั้นไม่ทิ้งความเหอนะหนะเอาไว้บนผิวเลย เมื่อเซ็ทตัวแล้วจะไม่มันวาว ไม่เหนียว ไม่เหนอะ และยังรู้สึกถึงความชุ่มชื้นได้นาน


เนื่องจากความรู้สึกเป็นสิ่งที่บางครั้งก็วัดยาก และไม่เที่ยงตรง ปูเป้จะมีอุปกรณ์สำหรับตรวจระดับความชุ่มชื้นของผิวติดบ้านเอาไว้ ซึ่งปกติแล้วในช่วงนี้จะวัดความชุ่มชื้นได้ประมาณ 45 - 48% ซึ่งเป็นระดับปานกลางขอิงผิวบริเวณแก้ม แต่การใช้ Neutrogena : Hydro Boost Night Concentrate เมื่อเข้านอนผ่านไป 10 ชั่วโมง มาวัดอีกทีก็พบว่าได้ค่าความชุ่มชื้นถึง 56 - 59% ซึ่งถือว่าสูงทีเดียวล่ะ

สรุปแล้วนอกจากบรรจุภัณฑ์แบบกระปุกที่ปูเป้มองว่ามันใช้ยากและไม่ค่อยจะ Hygiene เท่าไหร่ และส่วนผสมของน้ำหอมที่รู้สึกว่าอยากให้กลิ่นมันเบาลงกว่านี้อีกนิด (หรือไม่ใส่มาเลยยิ่งดี) แล้วล่ะก็ ปูเป้มองว่าเจลกระปุกนี้ทำหน้าที่ตามที่โฆษณาเอาไว้ทุกอย่าง แต่ว่ายังไงปูเป้ก็ยังข้องใจกับการตั้งราคาอยู่ดี... ผมมองว่าช่วงราคาไม่เกิน 6XX บาท จะเป็นอะไรที่เหมาะและเข้าถึงได้ง่ายกว่านี้สำหรับไลน์ Hydration ครับ



Neutrogena : Hydro Boost Water Gel (50 g. / 820 THB)

เทคโนโลยีเบื้องหลังก็จะเหมือนกับที่ได้อธิบายไปแล้วสำหรับตัว Night Concentrate เพียงแต่เวอร์ชั่นนี้จะมีความบางเบากว่า (และมีปริมาณของสารบำรุงอื่น ๆ ที่น้อยกว่าด้วยเช่นกัน) เขาเลยแนะนำให้ใช้สำหรับเวลากลางวัน

ตัวเบสเจลจะมีส่วนผสมของซิลิโคนชนิดระเหยไวรวมถึงซิลิโคนอีลาสโตเมอร์ที่ให้ความรู้สึกนวลเนียนแก่ผิวเพื่อสร้างเนื้อสัมผัสที่น่าประทับใจ เนื้อเจลจะให้ความเย็นฉ่ำและกลืนไปกับผิวอย่างง่ายดายและไม่ทิ้งความเงามันเอาไว้เลย ผิวหน้าจะดู Smooth Matte นวลเนียนเป็นธรรมชาติ



ในแง่ของเนื้อสัมผัสแล้ว ปูเป้มองว่านี่น่าจะเป็นมอยซ์เจอไรเซอร์สำหรับผิวธรรมดาถึงผิวมันที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับประเทศที่มีอากาศร้อนอบอ้าวอย่างบ้านเรา เพราะเนื้อถึงจะบางเบาแต่ผลจากการวัดระดับความชุ่มชื้นก็สามารถทำได้ถึง 52 - 55 % ทีเดียว แต่สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งถึงแห้งมาก ปูเป้คิดว่าตัวนี้ยังไม่เข้มข้นพอสำหรับผิวประเภทนี้ ผมว่าเอาตัว Night Concentrate มาทาในตอนกลางวันแทนเลยจะเหมาะกับผิวแห้งมากกว่าครับ

นอกจากเรื่องของบรรจุภัณฑ์แบบกระปุกและน้ำหอมแล้ว สิ่งที่ควรพูดถึงคือเรื่องความเข้ากันของเนื้อผลิตภัณฑือื่น ๆ ที่จะทาตามลงไป ดดยเฉพาะ "กันแดด" ที่อาจจะ Ball-up เป็นขุยได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปในผลิตภัณฑ์เนื้อซิลิโคนแบบนี้ ซึ่งถ้าปัญหานี้เกิดขึ้น ถ้าคุณไม่เปลี่ยนกันแดดที่ใช้ ก็ต้องเอาเจ้า Water Gel นี่ออกไปแทนล่ะจ้า

Ingredients :Water, Cyclopentasiloxane, Glycerin, Dimethicone, Cyclohexasiloxane, Demethicone/Vinyl Dimethicone Crosspolymer, Polyacrylamide, Cetearyl Oilvate, Dimethiconol, C13-14 Isoparaffin, Phenoxyethanol, Sorbitan Oilvate, Dimethicone Crosspolymer, Laureth-7, Carbomer, Fragrance, Sodium Hyaluronate, Methylparaben, Disodium EDTA, C12-14 Pareth-12, Magnesium Aspartate, Zinc Gluconate, Propylparaben, Sodium hydroxide, Methylisothiazolinone, Copper Gluconate, Cl 42090.


Neutrogena : Hydro Boost Eye Roll-On (15 g. / 590 THB)

เป็นผลิตภัณฑ์ให้ความรู้สึกดีในขณะใช้ เพราะว่านอกจากเนื้อสัมผัสของเจลจะมีความเย็นในตัวแล้ว หัวลูกกลิ้งที่เป็นโลหะก็ยิ่งเพิ่มความเย็นสดชื่นเมื่อกลิ้งลงไปบนผิวมากขึ้นทวีคูณ ตรงนี้เป็นข้อดีสำหรับตอนหลังตื่นนอนที่รอบดวงตาจะมีอาการบวมน้ำนิดหน่อย ก็เอาเจ้านี่มากลิ้ง ๆ แล้วรู้สึกดี (แต่ก็แอบคิดว่าจะเปลืองไปไหม...)

ส่วนผสมที่เป็นเทคโนโลยี Liquid Crystal นั้นมีอยู่น้อยในอายโรลออนหลอดนี้ เนื่องจากการทำสูตรให้มีเนื้อบางเบาพอที่จะไหลออกมาผ่านทางหัวลูกกลิ้งได้จะต้องมีเหลวพอสมควร แต่ความชุ่มชื้นที่ได้ก็ยังถือว่าโอเคทีเดียว สิ่งที่ชอบอีกอย่างคือมันใช้ง่ายมาก (เอาไปใช้หลังเล่นฟิตเนสเสร็จได้สะดวกดี) และไม่ทิ้งความมันเหนอะหนะกับผิว

ข้อเสียคือเป็นผลิตภัณฑ์รอบดวงตาที่มีส่วนผสมของน้ำหอม และในส่วนผสมมีสารกรองรังสี UVB มาด้วย แต่ไม่ได้ระบุค่า SPF หรือสรรพคุณในการปกป้องผิวจากรังสี UV ก็เลยไม่รู้เหมือนกันว่าใส่มาเพื่ออะไร... อย่างน้อยการปรับส่วนผสมของน้ำหอมออกก็จะทำให้ผลิตภัณฑืมีความสมบูรณ์มากขึ้นในมุมมองของปูเป้นะ

Ingredients :Water, Glycerin, Dimethicone, Ethylhexyl Methoxycinnamate, Butylene Glycol, Pentylene Glycol, Sodium Acrylate/Sodium Acryloldimethyl Taurate Copolymer, Butyrospermum Parkii (Shea) Butter, Isohexadecane, Phenoxyethanol, Dimethicone Crosspolymer, Methylparaben, Polysorbate 80, Carageenan, PEG-9 Polydimethylsiloxyethyl Dimethicone, Propylparaben, Sodium Hyaluronate, Tocopheryl Acetate, Cetearyl Olivate, Sorbitan Olivate, Saccharomyces Lysate Extract, Fragrance, Portulaca Oleracea Extract, Magnesium Aspartate, Zinc Gluconate, Citric Acid, Copper Gluconate.


Neutrogena : Hydro Boost Mousse Cleanser (150 ml / 485 THB) 

เป็นผลิตภัณฑืเดียวในไลน์ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของ Liquid Crystal เลย แต่โฟมล้างหน้าชนิดปั้มโฟมสำเร็จขวดนี้ก็ใช้สารทำความสะอาดที่อ่อนโยนและมีประสิทธิภาพที่ดีทีเดียวในการทำความสะอาด

ความรู้สึกหลังล้างหน้าจะไม่แห้งตึง แต่จะมีอะไรลื่น ๆ ติดอยู่บนผิวเล็กน้อย ซึ่งถ้าใครไม่ชอบความรู้สึกนี้ก็สามารถที่จะใช้ผ้าขนหนูหรือฟองน้ำละเอียด ๆ ชุบน้ำหมาด ๆ มาเช็ดหน้าแล้วก็ล้างตามด้วยน้ำสะอาดอีกหนึ่งครั้งก็จะเอาความรู้สึกลื่น ๆ ผิวออกไปได้


โดยรวมแล้วเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่โอเค แต่จะดีมากกว่านี้หากไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม และส่วนตัวใช้มา 2 สัปดาห์รู้สึกว่ามันหมดค่อนข้างไวทีเดียว (เหลือครึ่งขวดแล้ว) ทำให้รู้สึกว่ากับราคาเกือบ 500 บาท กับโฟมล้างหน้า Neutrogena มันจะเป็นอะไรที่ราคาสูงเกินไปหน่อยมั้ย... (คือสามารถซื้อได้ แค่รู้สึกว่ามันราคามันไม่สมเหตุสมผลยังไงก็ไม่รู้สิ...) พูดง่าย ๆ คือปูเป้อยากให้ปรับราคาลงนั่นเอง (555)

Ingredients :Water, Butylene Glycol, Sodium Laureth Sulfate, Glycerin, Polysorbate-20, Di-PPG-2 Myreth-10 Adipate, Cocamidopropyl Betaine, Sodium Cocoyl Isethonate, PEG-80 Sorbitan Laureth, PEG-7 Glyceryl Cocoate, Phenoxyethanol, Decyl Glucoside, Cocamidopropylamine Oxide, Bisabolol, PEG-150Distearate, Fragrance, Methylparaben, Tetrasodium EDTA, Propylparaben, Magnesium Aspartate, Zinc Gluconate, Citric Acid, Ethylparaben, Dipotassium Glycyrrhizate, Methylisothiazolinone, Copper Gluconate, Olea Europaea (Olive) Leaf Extract.



โดยสรุปแล้ว ปูเป้มองว่า Neutrogena : Hydro Boost นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดูเรียบง่ายแต่เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังนั้นต้องอาศัยการอธิบายหลักการที่ค่อนข้างซับซ้อนเพื่อที่จะเข้าใจว่ามันไม่ใช่แค่การให้ความชุ่มชื้นแบบธรรมดา แต่เป็นการเสริมความแข็งแรงของ Skin Barrier ด้วยโครงสร้างโมเลกุลของอีมัลชั่นแบบพิเศษ (ซึ่งไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยตาเปล่าหรือการทาลงไปบนผิว และหากปุเป้ไม่ได้พูดคุยกับ R&D ก็คงไม่มีเบาะแสที่จะตามสืบต่อจนเจอข้อมูลขนาดนี้)

ผลิตภัณฑ์ที่ชอบคือ Neutrogena : Hydro Boost Night Concentrate ตรงที่มันให้สัมผัสที่แตกต่างจาก Sleeping Pack ตัวอื่นที่เคยใช้มาตรงที่มันไม่เหอนะเลอะเทอะหมอนตอนนอน แต่ก็ยังให้ความชุ่มชื้นได้อย่างเต็มที่ตลอดคืน นอกนั้นก็ถือว่าใช้ได้ทีเดียวแต่ก็ไม่ได้ถึงกับ "ว๊าว" โดยฉพาะเมื่อคิดถึงราคาที่ตั้งไว้สูงเกินไปตามความรู้สึกของตัวเอง (คือ Neutrogena ไม่ใช่เคาน์เตอร์แบรนด์ หรือแบรนด์แบบ Cosmeceutical น่ะ) หรือถ้าจะตั้งราคาขนาดนี้ผมว่านอกจากเทคโนโลยีเรื่องความชุ่มชื้นแล้ว น่าจะมีปริมาณของสารแอนติออกซิแดนท์หรือส่วนผสมอื่น ๆ มากกว่านี้ มันก็ยังดูเป็นอะไรที่เพิ่มมูลค่าจนทำให้เรารู้สึกว่าเราได้จ่ายเงินเพิ่มเพื่ออะไรสักอย่างที่คู่ควร

สำหรับคำถามว่า "จะแพ้มั๊ย" "ใช้แล้วอุดตันรึเปล่า?" เป็นคำตอบที่ปูเป้บอกไม่ได้ครับ อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ คน สำหรับการอุดตันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวโดยรวมของแต่ละคนเอง นอกจากนี้คนเรายังไวต่อการอุดตันของสารแต่ละตัวไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม ควรทดสอบและทดลองใช้ก่อนทุกครั้งครับ

ข้อดี
- เทคโนโลยี Liquid Crystal ที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของ Skin Barrier
- เนื้อผลิตภัณฑ์ไม่เหนอะหนะแต่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวได้ดีเยี่ยม
- หาซื้อได้ง่าย
- ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ชนิดระเหยไว

ข้อเสีย
- มีส่วนผสมของน้ำหอมและสี
- บรรจุภัณฑ์แบบกระปุกที่ใช้ลำบาก มีปัญหาในแง่ของความสะอาดในการใช้
- การตั้งราคาไม่สมเหตุผล (เป็นความเห็นส่วนตัว)